Neric-Club.Com
  สารบัญเว็บไซต์
  ทรัพยากรคลับ
  พิพิธภัณฑ์หุ่นกระดาษ
  เปิดประตูสู่อาเซียน@
  พันธกิจขยายผล
  ชุมชนคนสร้างสื่อ
  คลีนิคสุขภาพ
  บริหารจิต
  ห้องข่าว
  ตลาดวิชา
   นิตยสารออนไลน์
  วรรณกรรมเพื่อเยาวชน
  ลมหายใจของใบไม้
  เรื่องสั้นปันเหงา
  อังกฤษท่องเที่ยว
  อนุรักษ์ไทย
  ศิลปวัฒนธรรมไทย
  ต้นไม้ใบหญ้า
  สายลม แสงแดด
  เตือนภัย
  ห้องทดลอง
  วิถีไทยออนไลน์
   มุมเบ็ดเตล็ด
  เพลงหวานวันวาน
  คอมพิวเตอร์
  ความงาม
  รักคนรักโลก
  วิถีพอเพียง
  สัตว์เลี้ยง
  ถนนดนตรี
  ตามใจไปค้นฝัน
  วิถีไทยออนไลน์
"ในยุคสมัยแห่งโลกแฟนตาซี ปลาใหญ่ไม่ทันกินปลาเล็ก ปลาเร็วไม่ทันกินปลาช้า ปลาตะกละฮุบเหยื่อโผงโผง โง่ยังเป็นเหยื่อคนฉลาด อ่อนแอเป็นเหยื่อคนเข้มแข็ง คนวิถึใหม่ต้องฉลาด เข้มแข็ง เสียงดัง มีเงินเป็นอาวุธ
ดูผลโหวด
 
 

'องค์ความรู้ในโลกนี้มีมากมาย
เหมือนใบไม้ในป่าใหญ่
มนุษย์เราเรียนรู้ได้
แค่ใบไม้หนึ่งกำมือของตนเอง
ผู้ใดเผยแผ่ความรู้
อันเป็นวิทยาทานแก่ผู้อื่น
นั่นคือกุศลอันใหญ่ยิ่ง'
 
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า












           




             ซ่อมได้ 


สถิติผู้เยี่ยมชมเวปไซต์
13997077  

เรื่องสั้นปันเหงา

ฉันรักเธอ เออก็ใช่ มีรัยมะ
 

                                                     

 

หากผมไม่พูด เธอไม่พูด เราไม่พูด เรื่องราวนี้คงจะเป็นความลับที่จมหายไปกับซากเวลา
แล้วใครๆที่มักจะพูดว่า ความลับไม่มีในโลกก็คงจะผิดหวังกับอมตะพจน์นั่น
ผมทนไม่ได้ครับ ก็ไม่ชอบทำลายความหวังของคนอื่น
ผมอยากอวดให้โลกรู้ ผมมีความรัก แม้ว่าจะยังหาหล่อนไม่เจอก็ตามที
แต่เชื่อเหอะ..เธอหลุดเข้ามาในวงจรรักของผมแล้ว
ผมพบเธอ..ออ..ไม่ใช่ซี..เราพบกันบนดินแดนอัศจรรย์ครับ
บนยอดเขาสูง ..ไม่ใช่..ในหุบเขา..ไม่ใช่อีก ในป่าลึก..ในดงดิบ..ในลานสวรรค์..
โอยย..มันรวมถึงทั้งหมดที่ผมพูดมาเลย อะไรจะขนาดนั้น..
หากคุณเคยขึ้นคิชกูฏมาแล้ว คุณจะเข้าใจผม
หากคุณจะเคยห้อแร่ดมากับแรลลี่วิบากบนเส้นทางสายนั้น
หากคุณจะเคยไปเดินวนเวียนอยู่บนลานบุญนั่น
หากคุณจะเคยเหวอกับเส้นทางเถื่อนไม่คุ้นเคย
คุณจะรักยัยจืดเหมือนผม
เราสองคนไม่ใช่ลูกทัวร์เดียวกัน
แต่เพราะบุพเพสันนิบาต..ง่า..สันนิวาทะแท้เทียว
บุพเพสันนิวาสเหวี่ยงหล่อนให้มาพบกับผมบนโฟรวีลล์สีหมอกครับ
หน้าจืดจืดขายาวเป็นเขียดนั่นส่งให้เธอสูงเทียบๆกับผม
แว่นตากลมๆหนาเตอะ ทำให้ผู้หญิงน่าดูที่ไหนเล่า
เพียงแต่เธอจะไม่มีลูกตาวาวๆเขียวปัดเป็นอาวุธละก้อ..เหอะๆ..
กระเป๋าเป้ใบเล็กที่สะพายหลังดูท่าทางจะมีน้ำหนักไม่น้อย
มาทัวร์บุญอย่างนี้ก็ห่อข้าวห่อสเบียงด้วย ยัยงก..
 
เธอจะไม่อยู่ในความสนใจของผมเลย
หากจะไม่มีเหตุให้ผมเผอิญถูกเบียดยันมาจนอยู่ใกล้ๆเธอในวันที่แดดเปรี้ยง
เสาร์ห้าที่ผู้คนนับแสนพากันหลงไหลขึ้นเขาพระบาท มันรวมผมและเธอไว้ในแสนคนที่เบียดเสียด
สัมปทานรถขับเคลื่อนสี่ล้อพาหนะส่งผู้คนต่างที่มาขึ้นสู่จุดหมายคงยังปรับตัวไม่ทัน
โฟรวีลล์คะเนจำนวนไม่ได้วิ่งสวนขึ้นลงรับส่งผู้โดยสารเส้นทางสายนั้นมันแผล่บ
ผมเห็นยัยจืดจดๆจ้องจะขึ้นรถแต่ไม่ขึ้นปล่อยให้หลายคันผ่าน รอใครอยู่หรือเปล่า?
ผมก้าวเท้าเตรียมขึ้นคันที่มาถึงเด็กวัยรุ่นหลายคนกระโดดแซงหน้า
ผมเป็นคนที่สิบเอ็ด เธอเป็นคนที่สิบสองครบตามจำนวนที่จำกัดไว้พอดี
เอ็นดูตัวบางๆกลัวจะทะเร่อทะร่าร่วงจากกะบะไปก่อนได้แสวงบุญ
ผมเบี่ยงตัวให้เธอนั่ง หล่อนรีบฉวยโอกาสนั่งปุบไม่ขอบคุณสักคำ

ผมตั้งใจจะยืนเกาะยึดโครงเหล็กให้มั่นเหมือนเด็กหนุ่มวัยจ๊าบคนตรงข้าม
แต่เมื่อรถเหวี่ยงตัวแค่โค้งแรกหมอนั่นก็ถลาพรวดไปคุกเข่าแต้บนพื้น
ผู้โดยสารที่นั่งเป็นระเบียบเลื่อนพรวดไปกองอยู่ส่วนหน้าผมได้ที่นั่งข้างๆยัยจืดโดยอัตโนมัติ
เหมือนเจ้าหนุ่มนั่นที่รีบเลื่อนตัวขึ้นไปนั่งบนส่วนท้ายตรงข้ามผมสบายใจ
ไม่ทันจะตั้งหลักดี เจ้าสีหมอกก็โฉบวาบออกเลนซ้ายหลบรถที่สวนตัดโค้งลงมา
ยัยจืดเสียหลักทำท่าจะถลาร่วงจากที่นั่งผมคว้าเป้หล่อนไว้ทัน
หล่อนหันขวับมาพูดอะไรไม่ได้ยินเพราะเสียงซิ้มข้างๆอุทานยาวเหยียดดังลั่น
เมื่อเริ่มปรับตัวได้ทุกคนนั่งตัวแข็งทื่อเงียบกริบ เข้าใจสภาพการสัญจร
รู้แล้วว่าทำไมอุทยานไม่ยอมให้รถส่วนบุคคลขึ้นไปเอง
เข้าใจว่าที่ต้องควบกันเร็วจี๋นั่นไม่ใช่เพราะต้องการทำเวลา
แต่เพื่ออัตราการเร่งขึ้นเขาคดโค้งที่ต้องอาศัยผู้ชำนาญเท่านั้น

สิบห้านาทีถึงลานจอดผมโดดลงก่อน หล่อนก็รีบตามลงมาเหมือนกัน
เพราะความเกร็งหรือเปล่าหล่อนเซแซ่ดๆเมื่อถึงพื้น ผมรับกระเป๋าเป้มาถือเพราะหล่อนทำท่าจะขย้อน
"มาคนเดียวหรอ" ผมถามเพราะไม่เห็นหล่อนมีทีท่ามองหาเพื่อน
"มากับทัวร์ แต่เค้าขึ้นมากันหมดแล้ว" เธอตอบอ่อยๆ สมคงจะต้วมเตี้ยมๆล่ะซี
"จะขึ้นเขาพระบาท" เธอบอก ผมพยักหน้าก็นั่นคือเป้าหมายของทุกคณะทัวร์
เห็นเธอควานกระเป๋าหน้าแล้วล้วงบัตรรถออกมา นึกได้ไกด์ก็แจกให้ผมแล้วก่อนแว่บไปเข้าห้องน้ำ
ที่จุดนี้เราต้องต่อรถอีกทอด ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องแบ่งให้เป็นขยักๆ หลายต่อ เพื่อพักรถ เพื่อพักผู้โดยสาร
 หรือเพื่อแบ่งสัมปทานทำมาหากิน ผมไม่เดาช่างมันเถอะ มีเรื่องให้คิดอีกมากมาย
ควานหาบัตรจนเจอมันซุกอยู่ในหลืบเสื้อ ราคา 60 บาทนี่จะต้องเจออะไรมั่งเนี่ย
สี่ประตูจอดเทียบเธอเดินดุ่มๆไปนั่งข้างหน้าเห็นข้างหลังคนเบียดกันขึ้นจนเต็ม
เธอกวักมือเรียก"ข้างหน้ามีที่ว่าง"
ผมรีบเดินไปนั่งคู่คนขับ คุณเอ๋ย..รู้แล้วทำไมไม่มีคนแย่งผมนั่ง
มันเหมือนขี่รถไต่ถังยังงัยยังงั้นเลย โค้งแต่ละโค้งผมต้องช่วยคนขับลุ้นเบรค
ลุ้นหลบรถที่ลงเนินลุยโค้งสวนมา ยัยจืดที่นั่งเบาะหลังผมแทบข้ามหัวมานั่งแทนที่
ผู้โดยสารในแค้บเป็นหญิงล้วนบางคนถือถ้ำยาดม กลิ่นยาหอมยาลมยาอมยาหม่องคลุ้ง
ลงจากรถคราวนี้ ยัยจืดหน้าซีดเป็นไข่ตุ๋น จ๋อยกว่าเดิม
ผมเองก็ใจเต้นตึกตัก โห้..ผ่านสนามแรลลี่โหดอย่างไม่ทันตั้งตัวเลยครับ
เธอเดินแยกจากไปคงไปเดินตามหาคณะทัวร์ ผมไม่ต้องรอใคร
มาอย่างนี้ต้องช่วยตัวเอง รอกันไปรอกันมาก็ไม่ต้องได้ซอกแซกตามอำเภอใจ
เห็นยัยจืดเดินดุ่มมาจากมุมศาลาทานตามลำพังแล้วเดินลับหายไปบนทางเดินขึ้นสู่พระบาท
ขอให้ตามคณะทันล่ะ
 
แม้จะผ่านวันพระใหญ่มาแล้วแต่คิชกูฏวันนั้นคงยังคงเบียดเสียดทั้งขาขึ้นขาลง
ทางแคบๆนั่นทำให้จราจรติดหนึบ บ้างก็จะไหว้ บ้างก็จะโรยข้าวตอกดอกไม้
จุดหมายปลายทางของผมคือยอดเขาและรอยพระบาท
ผมเดินโหย่งๆก้าวยาวๆไปเห็นยัยจืดเดินหยอดธนบัตรบ้าง เหรียญบ้างตามตู้บริจาครายทาง
จนถึงทางหินแคบๆมีราวระฆัง เห็นข้างเสาเขียน..
"ใช้เหรียญเคาะระฆัง"
เงินเหรียญท่าจะหมดเห็นหล่อนควานกระเป๋าอยู่นาน จะแซงก็แซงไม่ได้ทางแคบ
ผมล้วงกระเป๋าหยิบเหรียญห้าออกมาสองเหรียญส่งให้เธอหนึ่งเหรียญ ที่เหลือกลิ้งหลุนๆให้วิ่งตามเก็บ
ขึ้นมาเห็นหล่อนเอาเหรียญเคาะระฆังเป็นจังหวะลูกละสามครั้ง โอ้ยแล้วมีเป็นร้อยใบ กว่าจะหมดก็ไม่ทันคณะเหมือนเดิม
ผมเคาะระฆังใบละครั้งให้เป็นจังหวะสามใบจนทันและเลยอ้อมข้ามหัวเธอไป (ก็มันจะไม่ครบสามงัย)
เธอเริ่มเรียนรู้แล้วเคาะจังหวะสามเหมือนผม เราเคาะไปบนระฆังใบเดียวกันเสียงสะท้อนก้อง รู้สึกดีจังครับ
เคาะไปจนสุดแถวหล่อนหันมาส่งเหรียญคืนให้ ผมไม่รับบุ้ยปากไปทางบาตรที่วางอยู่เธอคงมองไม่เห็น
เธอยกมือขึ้นจบวางเหรียญในบาตรแล้วหันมายิ้มให้..ยัยจืดนี่ยิ้มสวย แต่ชอบเก๊กหน้า เดี๋ยวก็ขึ้นคานหรอก
ผมแค่คิดในใจ
 
จากราวระฆังเป็นทางวันเวย์เส้นทางเล็กๆเป็นขั้นบันไดไม้ไผ่บ้างหินบ้างบางส่วนตะปุ่มตะป่ำด้วยรากไม้
ลัดเลาะไปตามซอกเขาผู้คนเดินตามกันเป็นสายจากมุมของเราไปข้างล่างเหมือนเส้นทางมดดำคดไปมา
ท่ามกลางหินผาที่ดารดาษด้วยกลีบดอกดาวเรืองฝีมือมนุษย์ที่พากันหว่านโปรย
ยัยจืดอ้อมเป้ไปอุ้มกอดไว้ด้านหน้า ท่าจะหนัก เดี๋ยวเถอะคงจะหยิบทิ้งที่ละชิ้น ผมคาดเดา
นั่นงัย..พักเดียวก็ล้วงกระเป๋า เอ่าผิดคาด หล่อนเอาถุงดอกไม้ธูปเทียนอย่างที่วางขายก่อนขึ้นเขาออกมา
เบี่ยงตัวให้ผมแซงไปก่อน พอดีมีกลุ่มเด็กวัยรุ่นวิ่งตึ้กๆไล่ตามกันมาผมขยับหลบเข้าข้างทางให้กลุ่มวัยรุ่นนั่นขึ้นไปก่อน
ดูยัยจืดโปรยกลีบดอกดาวเรืองไปบนหินก้อนใหญ่ แปลกดี รู้หรือเปล่าว่าจุดประสงค์คืออะไร หรือทำตามๆกันไปอย่างนั้น
ตามก้อนหินสองข้างทางมีร่องรอยสักการะ มีดอกไม้โปรยเหลืองอร่ามไปหมดจากมือผู้คนที่ไม่ขาดสาย
ทำให้ดอกไม้ที่ทับถมกันนั้นเหลืองสดตลอดเวลา ดาวเรืองเป็นไม้ทำเงินของคนถิ่นนอกเหนือจากเกร็ดพลอย
เหลือบเห็นไม้แปลกตาที่เลื้อยเลาะระหว่างโขดหิน ไม่เคยเห็นในป่าชื้นทั่วไป
 ลูกกิ้งก่า แย้หรือลูกไดโนเสาร์พันธุ์อะไรสักอย่างวิ่งผ่านหน้า
ผมเดินตามดู เก็บภาพไว้ ยังเหลือบเห็นยัยจืดปีนกระไดขึ้นเขาล่วงหน้าไปไหวๆอยู่โค้งหน้า
เสียงไวยทยากรหรือผู้นำบุญเรียกศรัทธามาจากหลายทิศทาง
พบว่าระหว่างทางขึ้นถึงรอยพระบาทมีซุ้มบุญมากมายรายทาง
ผู้คนล้นหลามที่มาคงได้สะสมบุญกันสมใจ มีแอบแฝงก็คงต้องอาศัยเจตนาแล้ว
เป้าหมายของผมยังอีกไกล เดินเร็วๆไปตามทางลาดชัน ป่าร่มรื่นนั่นยังอุดมสมบูรณ์อยู่มาก
มองไปข้างล่างเห็นยอดไม้อยู่ลิบลิบ ผู้จาริกบุญนั่งพักอยู่ตามรายทางเป็นระยะ ไม่รู้ยัยจืดจะถึงปลายทางหรือยัง
ได้พบคณะหรือเปล่า แค่นึก ก็พบหล่อนอยู่ข้างหน้าแล้ว

เห็นหล่อนไกลๆพยายามจะปีนหินผาสีดำก้อนใหญ่ข้างหน้า แต่คงลื่นหรือแรงเหนี่ยวตัวไม่พอ
ผมเร่งฝีเท้า หล่อนจะทำอะไรของหล่อน เมื่อเข้าใกล้เห็นว่าหล่อนหยุดความพยายามที่จะปีนทรุดตัวลงนั่งเปิดกระเป๋าเป้
"ทำอะไรหรอ" ผมส่งเสียง เธอหันมา ทำท่าดีใจออกนอกหน้าให้เห็นชัดๆ
อุ้มพระพุทธรูปปางสมาธิออกมาจากเป้ ผมเหวอเลยครับ..
"เอาหลวงพ่อขึ้นวางบนโน้นให้หน่อยได้ไหม" เธอส่งพระพุทธรูปให้
"ทำไมไม่ถวายที่วัดหรือบนรอยพระบาทล่ะ" ผมถาม
"เขาให้วางบนจุดที่สูงที่สุดที่เรามาถึง"
"ก็ยังไม่ถึง"
"เรากลัวกลับลงไปไม่ทันคณะ นัดกันข้างล่างห้าโมงครึ่ง"เธอคงหมายถึงวัดพลวงทางขึ้น
"มาทั้งทีก็ไปให้ถึงซี อีกหน่อยเดียว จะช่วยอุ้มไป" ผมหมายถึงองค์พระ
เธอพยักหน้าแล้วเดินตามอย่างว่าง่าย แปลกแฮะ ไม่รู้จักกันสักหน่อย
ถึงจุดอำนวยการเห็นคนมากมายเราเดินแยกออกซ้าย ไปตามทิศทางที่เห็นคนเดินเป็นเส้น
เสียงหน่วยเรียกบุญไกลออกไปอีกนิด สองข้างทางยังคงมีหน่วยรับบริจาคหลายรูปแบบ
ผู้รับผิดชอบบ้านเมืองสอดส่องทั่วถึงหรือเปล่า หากมีมารศาสนาแอบแฝงจะสังเกตเห็นไหมเล่า
ข้างหน้ามีแม่ชียืนบอกบุญอยู่ที่หินกลมๆ ป้าย"หัวใจคิชกูฏคือรอยพระบาท" ที่ติดต้นไม้เรียงมาตามทางหายไปแล้ว
ผมเอะใจถามคนเดินสวนลงมา "รอยพระบาทอีกไกลไหม"
เขาทำหน้างง "เลยมาแล้ว"..
ยัยจืดหันขวับ "สงสัยตรงที่เป็นกองอำนวยการ"
ทำไมป้าเพิ่งจะสงสัยเล่า !
ก้มมองไปเบื้องล่างเห็นคนมากมายแออัดยัดเยียดเป็นแพกลางวงล้อมของโขดหินลูกใหญ่น้อย ผมชี้ให้เธอดู
"เราปีนมาสูงกว่ารอยพระบาท"
"งั้นเราอัญเชิญหลวงพ่อไว้ที่นี่ดีไหม"เธอชี้หินก้อนใหญ่ซ้ายมือ ผมเห็นด้วย
"หลวงพ่อท่านอาจจะอยากประดิษฐานอยู่ที่นี่มากกว่า"
ตรงนั้นทำเลดีร่มรื่น มีพระพุทธรูปที่มีผู้คนนำมาวางไว้ก่อนแล้วหลายองค์
เธอรับองค์พระให้ผมปีนก้อนหินโดยสะดวก แล้วยืดตัวส่งพระพุทธรูปให้ผมนำไปวางไว้ด้วยกัน พร้อมดอกไม้พวงมาลัย
ตั้งใจจริงนะยัยจืด ผมคิดในใจเหมือนเคย

กราบพระแล้วค่อยๆถดตัวลงมา ขาลงลำบากกว่าตอนปีนขึ้นแฮะ ผมเลี่ยงอ้อมซ้ายนิดแล้วไถลตัวลง
เจ้ากรรมแว่นตาดันโดนกิ่งไทรเกี่ยวหลุดล่วงลงซอกหินข้างล่าง ตาสั้น กว่า 450 ของผมพร่าคว้าง ยุ่งแล้ว..
เสียงยัยจืดแหลมปิ๊ดดังลั่น
"อยู่นิ่งๆ ตรงนั้นก่อนนะ"
ผมค้างตัวอยู่บนหินก้อนใหญ่ รู้แล้วว่าหากเล็งพลาดสักองศาผมมีโอกาสร่วงไปบนพื้นข้างล่างหรือไม่ก็แกว่งไปบนยอดไม้
"เราจะเก็บแว่นให้ก่อน"
เธอร้องบอก เห็นเลือนๆ เธอยึดยื้อกิ่งไม้สุดปลายมือ
"มันหล่นลงไปข้างล่างแล้ว..!" ท้ายสุดเธอร้องบอกเสียงเครือ เวรแล้ว..
ตาผมขาดแว่นไม่ได้แม้แต่บนทางราบ..นี่ แม่เจ้า..
"เอาแว่นเราใส่ก่อนได้ไหม"
เข้าใจคิดนะ แต่เป็นวิธีที่ดีที่สุด ผมยื่นมือออกมารับ.."ระวังหน่อยล่ะ"
หล่อนจับแว่นแน่นจนผมรับได้มั่นมือจึงปล่อยให้
เฮอแว่นมัว..แต่มองเห็นคนข้างหน้าชัดแจ๋วเลย ผมค่อยๆเลื่อนตัวลงมา
ยัยจืดหน้าซีดเผือด กระพริบตาปริบๆ คงเป็นไก่เซ่อเหมือนผมตะกี้
แล้วผมกับแว่นกรอบกลมล่ะ คงเหมือนปลานีโม่เลย
"แว่นพอใช้ได้ใช่ไหม เราทำให้เธอลำบาก ไม่น่าเลย"
เสียงอ่อยๆหน้าสงสาร ผมไม่คืนแว่นตาให้เธอ
"ไม่ถ่ายรูปไปให้แม่ดูเหรอว่ามาถึงแล้ว."
"ไม่ใช่แม่ ของคนข้างบ้าน"
"คนข้างบ้าน!"
"ยายแกอยากามาที่นี่ตั้งแต่ยังไม่ตาย พอดีมีทัวร์นี้ก็เลยเอามา"
โห้..มีคนพันธุ์นี้หลงเหลืออยู่ในโลก
"เราลงไปข้างล่างกันเถอะ" ผมบอกหลังอื้งไปเล็กๆ
ยัยจืดยังกระพริบตาปริบๆ "แว่นเราล่ะ.แล้วเธอล่ะ.."
เสียงเธอเครือเต็มที อีกเดี๋ยวก็คงจะร้องไห้
ผมคว้าข้อมือเธอเดินย้อนกลับเส้นทางเดิม
"ให้เราใส่ดีกว่า เราไปไหว้พระบาทกันก่อนแล้วลงไปข้างล่าง" เธอพยักหน้า
เราพากันตุปัดตุเป๋ตามแรงเคลื่อนมนุษย์ จัดการให้หล่อนไหว้รอยพระพุทธบาท
เห็นเธออธิษฐานอยู่นานผมบอก" จะห้าโมงแล้ว เดี๋ยวไม่ทันรถ" เธอเกาะแขนผมลุกขึ้น
ยิ่งสายคนยิ่งแน่นผม "จูง" เธอผ่านฝูงชนที่แน่นขนัดไต่บันไดกลับลงมาทางเดิม
"ทำไงดีอ่ะ แว่นสายตาแถวนี้มีขายที่ไหน" เวรกรรมอะไรของใครก็ไม่รู้
"ตลาดในตัวอำเภอมะขามข้างล่างน่าจะมี เราต้องไปให้ถึงวัดพลวงก่อน"
วัดพลวง..ที่นั่นทางแยกของเธอล่ะซี..ได้งัยอ่ะ..
"เหมือนมีคอนแทคเลนส์เก่าๆในกระเป๋า เธอใช้ได้ไหม"
ยัยจืดความคิดกระฉูดบอกเสียงดัง เอ๊อ..เป็นไก่ตาแตกอยู่ได้ตั้งนาน
"เราไม่ถนัดใช้คอนแทคเลนส์ ยิ่งเก่าด้วยมันก็ใช้ไม่ได้แล้ว"
"ได้ซีได้ เราจะใส่เอง "
"มันอันตรายนะ สะอาดหรือเปล่า"
"เรารักษาอย่างดี"
เธอหามุมหลบคนแล้วควานกุกกักในกระเป๋าหยิบกระจกกับถุงผ้าเล็กๆออกมาขยุกขยิกจัดการกับลูกตาแล้วหันมาบอก
"ดีกว่าไม่ใส่หน่อย"
มองหน้าผมแล้วอึ้งไปเล็กๆ ก่อนจะปล่อยเสียงหัวเราะคิคิ
หน้าผมคงเหมือนปลานีโม่จริงๆ
"ขำรัยเล่า เดี๋ยวให้กระโดดไปเก็บแว่นเลยหนิ"
ผมก็เขินเป็นยัยจืดเงียบไปอีกผมรู้สึกผิด
"เดี๋ยวเปลี่ยนแว่นให้ใหม่นะ อันนี้ขอเป็นที่ระลึกแล้วกัน"
"ไม่ต้องเปลี่ยนหรอก เราให้ เพราะเราเธอถึงลำบาก เดี๋ยวเราตัดให้เธอใหม่ดีกว่า"
"ตัดใหม่!"พูดยังกับอยู่บ้านเดียวกัน
"อีกเมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก"
ประโยคหลังนี้เหมือนเสียงตัวเองมาจากก้นลึกสุดใจตัวเบาหวิว
"ขออีเมล์กับเบอร์โทรศัพท์ได้ไหม"
นึกขึ้นได้ผมละล่ำละลักบอกเหมือนเวลาใกล้หมดเต็มที ค้นกระเป๋าวุ่นวายพบเศษกระดาษในกระเป๋าเสื้อ ผมเขียนชื่อที่อยู่แล้วส่งให้
"เราชื่อบุริศร์ เรียกปื้ดก็ได้ตัวดำปึ้ดแต่เท่ห์มากน่ะ ไม่ได้เอามือถือมา ขึ้นรถทัวร์แบบฉุกเฉิน"
ก็ผมตัดสินใจมาทัวร์นี้ก่อนรถออกเพราะเพื่อนที่จองตั๋วติดงานมาไม่ได้
เธอหัวเราะหึหึควักกระดาษมาเขียนหยุกหยิกแล้วส่งให้
"เราชื่อจี๊ด" ยัยจืดนี่ชื่อไม่สมตัวเลย ไม่เหมือนผม ฮ่าๆ
เราวิ่งขึ้นรถ แต่ขาลงคนตกค้างมาก ผมส่งยัยจืดเข้าในแคปแล้วอ้อมมาจะขึ้นกะบะข้างหลัง กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มใหญ่กระโดดขึ้นก่อนจนเต็มเราคลาดกันเสียแล้ว การเบียดเสียดไม่มีคิวอย่างนี้ผมเห็นว่าเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่มากที่สุดไม่ใช่เพราะทำให้ผมคลาดกับยัยจืด แต่มันบ่งบอกถึงความไม่มีระเบียบของคนในชาติ อายแขกต่างบ้านต่างเมืองที่อุตส่าห์ข้ามน้ำข้ามทะเลมาแสวงบุญในเมืองพุทธ แล้วจะรันหมายเลขบัตรไว้ทำไม
ลงจากรถแบบหัวฟัดหัวเหวี่ยงยิ่งกว่าขาขึ้น ลงดอยตอนหิวจัดนี่กี่โค้งกี่โค้งก็ไม่หวั่นเลย แต่ตอนคืนบัตรให้เจ้าหน้าที่ไปแล้วนั่นต่างหาก นึกได้ว่าจดที่อยู่ยัยจืดไว้ในนั้นก็ตามหาเจ้าหน้าที่คนนั้นไม่เจอแล้ว ยัยจืดเองก็คงส่งที่อยู่หลังบัตรนั่นให้เจ้าหน้าที่ตอนลงจากรถเหมือนกัน ผมเหมือนทำหัวใจหล่นหายไว้เชิงเขาคิชกูฎเลยครับ
ผมมองหายัยจืดจนคอจะยืดเป็นกะเหรี่ยงห้าห่วงก็ไม่พบ
ผู้คนเบียดเสียดทั้งที่จะกลับทั้งที่จะมา เหมือนคนทั้งโลกมารวมกันอยู่ตรงนี้
ผมซอกแซกหาคนรู้จักก็ไม่มีเลยสักคน
(ผมจะรู้จักใคร แม้แต่แต่ทัวร์เดียวกันหน้าตาไงมั่งก็ไม่รู้ทัวร์นั่นออกตอนโพล้เพล้ ถึงเมืองจันท์ก็เช้ามืด ผมจำได้แต่ทะเบียนรถ)
จากวัดพลวงต้องต่อรถมาที่ลานจอดอีก กว่า 10 นาที มาถึงรถปรากฏว่ายังไม่มีใครมาเลยสักคน เห็นโชเฟอร์ถือแผ่นพับกำหนดการณ์ผมคว้ามาดู นัดพบกันตอนห้าโมงครึ่งที่วัดพลวง นี่มันจะเที่ยงแล้ว "นัดคนไทยก็อย่างนี้" โชเฟอร์บอก
ผมจะกลับไปวัดพลวงอีกก็ไม่ไหว ปวดลูกตาบอกให้โชเฟอร์โทร์ศัพท์บอกไกด์ว่าผมมาอยู่ที่รถแล้วหนึ่งคนแล้ว
จะได้ไม่ต้องรอ โชเฟอร์วุ่นวายอยู่กับสื่อสารอิเล็คทรอนิคพักหนึ่งหันมาบอก "สงสัยข้างบนไม่มีคลื่น"

ผมเซ็งแวะไปหาอะไรใส่ท้องแล้วถอดแว่นตาเก็บอย่างดีขึ้นไปนอนเหยียดยาวที่เบาะหลัง
สักครึ่งชั่วโมงใหญ่ผมตื่นเพราะเสียงจ้อกแจ้กถึงประสบการณ์แรลลี่ที่ชวนสยอง บ่นปวดขา ปวดน่องไปตามเรื่อง
แว่วกลุ่มสุดท้ายงึมงำกันถึงมนุษย์งุ่มง่ามสักคนที่ปล่อยให้ตามหาหรือรอคอยอันเป็นเหตุให้ล่าช้า ผมหลับต่อ
รถจอดจุดรับประทานอาหารที่ร้านใหญ่ ถือเป็นแหล่งรวมนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง
แต่เพราะเวลาที่ล่าช้าทำให้อาหารที่เตรียมเสียรสชาดหรือเพราะผมอิ่มแล้วก็ไม่รู้ เลยไปเตร่ดูสินค้าโอทอป
ดูซุ้มเครื่องประดับ กลับนึกถึงข้อมือเล็กๆของยัยจืดไปเสียได้ กำไรพลอยประดิษฐ์เป็นดอกไม้หลากสีเหมาะกับแขนยัยจืด
ผมรู้สึกอ่อนเปลี้ยเพลียหัวใจ ใครหนอกำหนดให้พบแล้วพราก ชีวิตปื้ดรันทดจริงๆ
ผมปีนขึ้นไปนอนต่อเอาแรง โปรแกรมต่อไปแหลมสิงห์ ผมเตรียมกล้องมาแล้วตั้งใจว่าจะเก็บภาพสวยๆไว้เป็นที่ระลึก
 ก็อยากมีภาพอาทิตย์ตกทะเลเป็นของตัวเอง ผมจับจองเบาะหลังเพราะไม่มีใครแย่งผมชอบมันเหมือนได้นอนเปล
 
ถึงแหลมสิงห์หายเซ็งเลย มองผ่านกระจกเห็นหาดทรายสวยทะเลใส สนเป็นแถวแนวสุดตา
 อีกสักสองชั่วโมงอาทิตย์จะหย่อนก้นลงทะเล ผมเล็งมุมที่มีกิ่งสนทะเลกับชายหาดขาวยาว
 เดินจากรถเป็นคนสุดท้าย ก้าวขาลงเห็นขายาวๆบันไดหน้าคุ้นๆ กางเกงยีนรองเท้าถักนั่น!
 โอ้..ผมเรียกเสียงดังลั่นจากส่วนลึกของใจ
"ยัยจืด"
หล่อนหันขวับส่งเสียงที่ต้องมาจากก้นบึ้งเหมือนกัน
"ตาบื้อ"
 
 
"We are all travelers in the wilderness of this world,
and the best we can find in our travels ia an honest friend."
- - R.L.Stevenson - -
เราทั้งหมดนี้เป็นนักเดินทางที่ท่องไปในที่รกร้างรอบโลก
และสิ่งที่ดีที่สุดที่เราได้ค้นพบคือเพื่อนที่ซื่อสัตย์
 
 





หน้าที่ :: 1   2   3   4   5   6   7   8   9   10   11  


Copyright © 2012 Neric-Club.Com All Rights Reserved