“ผีเสื้อกระพือปีก” ในโลกวิทยาศาสตร์ .... ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก อยู่กับวงการวิทยาศาสตร์มานานแค่ไหน? ตามหลักฐานที่ปรากฏ ก็ย้อนหลังไปไกลอย่างน้อยถึงศตวรรษที่ 18 กับบุคคล ดังเช่น เบนจามิน แฟรงคลิน (ค.ศ. 1706-1790) นักวิทยาศาสตร์ผู้ค้นพบไฟฟ้าในเมฆ นักคิด นักเขียน และผู้สถาปนาสหรัฐอเมริกาคนสำคัญ เบนจามิน แฟรงคลิน เขียนว่า ..... “เพราะไม่มีตะปู เกือกม้าจึงไม่มี เพราะไม่มีเกือกม้า จึงไม่มีม้า เพราะไม่มีม้า จึงไม่มีคนขี่ม้า เพราะไม่มีคนขี่ม้า จึงแพ้สงคราม เพราะไม่มีสงคราม จักรวรรดิจึงล่ม และทั้งหมดเกิดเพราะ ไม่มีตะปู” ความหมายของ เบนจามิน แฟรงคลิน คือ ด้วยเงื่อนไขเล็กๆ การขาดตะปูสำหรับเกือกม้า ก็ทำให้เกิดเหตุใหญ่ คือ การล่มสลายของจักรวรรดิ เป็นตัวอย่างชัดเจนของปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก และทฤษฎีเคออส อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงความคิดเกี่ยวกับปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก และทฤษฎีเคออส ตั้งแต่ยุคเก่าก่อน คือ ข้อเขียนของ โยฮานน์ ฟิกตา (Johann Fichte) นักคิดคนสำคัญคนหนึ่งแห่งศตวรรษที่ 18 ของเยอรมนีในหนังสือ “The Vocation Of Man” (การอาชีพของคน) ตีพิมพ์ ค.ศ. 1799 ความว่า .... “คุณไม่สามารถดึงเอาเม็ดทรายหนึ่งเม็ด จากตำแหน่งที่มันอยู่ โดยไม่ทำให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในทุกส่วนของกองทรายได้” อย่างแน่นอน การเคลื่อนย้ายเม็ดทรายหนึ่งเม็ด ก็เหมือนกับการกระพือปีกของผีเสื้อ มีผลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงกับกองทรายทั้งกอง ดังเช่นพายุที่เป็นผลสืบเนื่องจากการกระพือปีกของผีเสื้อ โดยภาพรวมทั่วไป ตั้งแต่อดีตมาจนกระทั่งถึง “ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก” กับทฤษฎีเคออสของลอเรนซ์ การกล่าวถึงปรากฏการณ์และทฤษฎี ก็เป็นการกล่าวในลักษณะความคิดเห็น ที่ไม่มีคำอธิบายอย่างเป็นระบบ หรือตัวอย่างที่เป็นรูปธรรม ดังปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก และทฤษฎีเคออสของลอเรนซ์ ถ้าจะถามว่าทำไม? คำตอบตรงๆ ก็คือ นักวิทยาศาสตร์ยังไม่มีเครื่องมือที่มีความสามารถจะ “สนับสนุน” หรือ “ขัดแย้ง” กับความคิดเรื่องกระพือปีกของผีเสื้อได้อย่างเป็นรูปธรรม จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1961 ลอเรนซ์ได้มีเครื่องมือที่สร้างจุดเปลี่ยนสำคัญ ก็คือ คอมพิวเตอร์ ที่จะช่วยทำการคำนวณที่ละเอียดและระดับใหญ่ได้อย่างรวดเร็ว คอมพิวเตอร์ที่ลอเรนซ์ได้ใช้ในการคำนวณ สภาพการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศ หรือการพยากรณ์อากาศ เป็นคอมพิวเตอร์ชนิดตั้งโต๊ะ รุ่น LPG-30 ของบริษัท Royal McBee ถึงแม้ลอเรนซ์จะได้ทำงานเกี่ยวกับการพยากรณ์อากาศมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1948 ที่เริ่มต้นทำงานกับเอ็มไอที แต่ก็จนกระทั่งถึงปี ค.ศ. 1961 ลอเรนซ์จึงได้ใช้คอมพิวเตอร์ ซึ่งมีศักยภาพทำให้เขาได้ค้นพบ “ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก” และ ทฤษฎีเคออส ของเขา และทำให้ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก และทฤษฎีเคออสของเขา กลายเป็นทฤษฎีหลักของวงการวิทยาศาสตร์โลกไป แต่มิใช่นักวิทยาศาสตร์ทุกคน หรือวงการวิทยาศาสตร์ทั้งหมด! พอล ดิแรก กับ “เด็ดดอกไม้ กระเทือนถึงดวงดาว" พอล ดิแรก (Paul Dirac : 8 สิงหาคม ค.ศ. 1902 - 20 ตุลาคม ค.ศ. 1984) เป็นนักฟิกส์ผู้มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาฟิสิกส์ควอนตัม ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี ค.ศ. 1933 สำหรับผลงานการสร้าง “สมการดิแรก” (Dirac equation) ที่พยากรณ์ว่า ในจักรวาลมี antiparticle หรือ “ปฏิอนุภาค” ที่มีประจุไฟฟ้าตรงกันข้ามกับอนุภาค ดังเช่น อิเล็กตรอน ก็มีแอนติอิเล็กตรอน ได้รับการตั้งชื่อเรียกเป็น โปสิตรอน มีประจุไฟฟ้าเป็นบวก โดยทั่วไป ดิแรกก็มิได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องทฤษฎีเคออสนัก แต่ก็มีคำกล่าวของเขา ที่กลายเป็นคำกล่าวที่รู้จักกันดี คู่กับ “ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก” คือ “Puck a flower on earth and you move the farthest star” แปลพากย์ไทยตรงๆ คือ “เมื่อคุณเด็ดดอกไม้บนโลก คุณก็ทำให้ดวงดาวแสนไกลกระเทือน” ..... ซึ่งมักจะจำกันได้ง่ายๆ และชัดเจนเป็น “เด็ดดอกไม้ กระเทือนถึงดวงดาว” แต่ก็มีความเข้าใจในวงการฟิสิกส์ว่า จริงๆ แล้ว “เด็ดดอกไม้ กระเทือนถึงดวงดาว” ของดิแรก มิได้มีความหมายเช่นเดียวกับ “ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก” ของลอเรนซ์ หากหมายถึง บทบาทของความโน้มถ่วง ที่เชื่อมโยงทุกสิ่งในจักรวาล ดังนั้น การเด็ดดอกไม้ จึงเป็นการเปลี่ยนตำแหน่งของดอกไม้ ทำให้ความโน้มถ่วงระหว่างดอกไม้กับสรรพสิ่งเปลี่ยนไป รวมถึงดวงดาวแสนไกลด้วย ทว่าก็มีความคิดเห็นในโลกของฟิสิกส์ ที่เสนอว่า “เด็ดดอกไม้ กระเทือนถึงดวงดาว” ของดิแรก ก็มีความหมายแบบเดียวกับ “ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก” ของลอเรนซ์ เพราะจักรวาลก็มีสภาพเป็น “ระบบเคออสใหญ่” ที่ทุกส่วนเชื่อมโยงกันด้วยแรงโน้มถ่วง การเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่เกิดกับความโน้มถ่วง จึงมีผลต่อภาคส่วนอื่นๆ ของจักรวาลด้วย “ผีเสื้อกระพือปีก” ในโลกของชีวิตจริง “ปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก” มีประโยชน์ หรือเกี่ยวกับชีวิตจริงหรือไม่? อย่างไร? มีอย่างแน่นอน อย่างสำคัญ และก็ทั้งด้านดีและด้านเลวร้าย ขอยกมากล่าวถึงอย่างเร็วๆ 3 เรื่อง 3 ระดับ จากใหญ่สุด ลงมาถึงระดับกลาง เกี่ยวข้องกับคนจำนวนมาก และระดับชีวิตส่วนตัวของมนุษย์แต่ละคน เรื่องแรก ระดับใหญ่ที่สุด คือ การระบาดใหญ่ของโควิด-19 จากโคโรนาไวรัสทั่วโลก ระหว่างปี ค.ศ. 2019-2023 มีคนติดเชื้อรวมประมาณ 705 ล้านคน ผู้เสียชีวิตรวมประมาณ 7 ล้านคน ระบบสิ่งมีชีวิตของโลกเป็นระบบใหญ่ มีปัจจัยตัวแปรเกี่ยวข้องมากมายและซับซ้อน ทั้งส่วนสิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิต จึงมีสภาพความเป็น “ระบบเคออส” ที่ชัดเจน และปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีกก็มี และเกิดขึ้นได้มากมาย การแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็เกิดขึ้นจากจุดเริ่มต้น เปรียบได้กับการกระพือปีกของผีเสื้อ เชื้อโคโรนาไวรัสจากสัตว์ติดมาที่คน ที่ชุมชนแห่งหนึ่ง ในประเทศหนึ่ง แล้วก็ “ติดต่อ” ไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จากปัจจัยต่อเนื่อง คือ การเดินทางของผู้คน ที่มีการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วไปทั่วโลกในปัจจุบัน เรื่องที่สอง ระดับกลาง หรือระดับภายในประเทศ ดังเช่น “วิกฤติต้มยำกุ้ง” เมื่อปี พ.ศ. 2540 (ค.ศ. 1997) ของประเทศไทย สาเหตุใหญ่ๆ เกิดจากการลงทุนเกินตัวของผู้ประกอบการ การเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์เกินจริง และปัญหาการกำกับดูแลระบบการเงินของภาครัฐ อย่างชัดเจน “ต้มยำกุ้ง” เปรียบได้เป็นทอร์นาโด ปัจจัยต้นเหตุ (การระดมทุน, การเก็งกำไร, การกำกับดูแลระบบการเงินของภาครัฐ) คือ การกระพือปีกของผีเสื้อ ทำให้เกิดผลกระทบรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ซึ่งมีสภาพเป็นระบบเคออส ; เรื่องที่สาม ระดับเล็กที่สุด (แต่อาจจะยิ่งใหญ่ที่สุด) คือชีวิตส่วนตัวของมนุษย์แต่ละคน อย่างย่นย่อที่สุด ตลอดเส้นทางชีวิตของมนุษย์แต่ละคน มีปัจจัยตัวแปรเกิดขึ้นได้มากมาย จากทั้งอย่างตั้งใจและอย่างบังเอิญ ที่มีผลใหญ่หลวงถึงวันสุดท้ายของชีวิต ดังเช่นเรื่อง ความรัก, ชีวิตคู่, สุขภาพ และงานอาชีพ สำหรับคำถามที่ยังอาจอยู่ในใจของท่านผู้อ่านถึงขณะนี้ คือ แล้วเรื่องปรากฏการณ์ผีเสื้อกระพือปีก แล ทฤษฎีเคออส เป็นเรื่องที่ “รู้แล้ว ได้ประโยชน์อะไร?” คำตอบที่ผู้เขียนเชื่อว่าน่าจะเป็นประโยชน์ ก็คือ การเตรียมตัวให้พร้อมเสมอ รับความเปลี่ยนแปลงใดๆ ที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต ด้วยสติ, ปัญญา, ความมุ่งมั่น และความไม่ประมาท ชัยวัฒน์ คุประตกุล; นักสื่อสารทางวิทยาศาสตร์ https://www.thairath.co.th/scoop/world/2782223;
|