ฝนกลางแดด
"ถนนแฉะ กลัวรถเปียกเลยถอดรองเท้าเดินฝ่าสายฝนฝ่าสนามหญ้าเขียว
สัมผัสความหยุ่นย่นของไส้เดือนดิน สายตาทอดไปทักทายตั๊กแตนสีสวยที่ทิ้งตัวฉับบนยอดหญ้า
น้ำค้างหยดสุดท้ายหลบเร้นตัวเองในซอกใบ เสียงฝนกระทบกลีบทองหลางด่าง.. ปาริชาติสินะ..
เหมือนเสียงกระซิบลาผ่านฟ้า เศร้าจับใจ ..หนาวสะท้าน..ฝนเอย..เหงาไหม.. "
ถ้าฉันจะเขียนโรยหน้าในบันทึกของฉันอย่างนี้สักวันหนึ่ง ใครจะจับความรู้สึกได้ไหมว่าเป็นความเท็จ
ใครจะคิดไปถึงไหมว่าฉันกำลังป่วยและเพ้อไปด้วยพิษไข้
ฉันคนเดิมที่ไม่เคยเขียนเรื่องนอกเหนือจากสื่งที่เป็นจริง
เรื่องราวของฉันจับต้องได้เสมออย่างไม่ซับซ้อน
แม้ในเวลาที่กำลังหนาวสะท้านเพราะพิษไข้..
ฉันกำลังจะบันทึกเรื่องราวของตัวเองอีกสักเรื่อง
มันผิดตรงไหนเล่าหากจะเขียนแต่เรื่องราวแห่งชีวิต ในเมื่อความสุขคือศิลปะของการจดจำเรื่องราวอันควรจดจำ ฉันให้ลมหายใจของใบไม้เป็น อนุทินชีวิต บันทึกความทรงจำ ฉันจะเลือกจดจำแต่สิ่งที่ดี ขอโทษทีฉันแค่ทำห้องสมุดส่วนตัว ฉันแค่ทำฝันของฉันให้เป็นจริง หาได้หาญทำบล็อกกาซีนแต่อย่างใดไม่ ขอโทษอีกครั้งหากในความทรงจำนั้นไม่มีเธอ
"ฝนกลางแดด" ไม่ผิดหรอก..ตั้งใจจะใช้ชื่อนี้ก็ฝนเทอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
สายฝนพราวลงมาในวันที่แดดเป็นสีส้มสดของปลายร้อน ความเย็นฉ่ำนั้นพร่างพรูมาในวันที่โลกสีซีเปียของฉันหม่นทึบ งานหลายหน้าอย่างนี้ ฉันเลือกกระโดดออกมาอยู่ในมุมของตัวเอง หลายคนทักฉันว่าเป็นคนนั้นคนนี้ใน ไทยโพม เย้ย..ผิดแล้ว..! ถึงฉันจะ "รักบทกวีดั่งชีวิต" ฉันก็มิบังอาจเอาหิ่งห้อยไปประดับฟ้า
ฉันเข้าไปวิ่งเล่นอยู่ในนั้นราวกับเป็นบ้านของตัวเอง ซอกแซกไปทุกซอกทุกมุม .ใช้เวลาที่นั่นมากกว่าเว็บของตัวเอง.. พอใจบทกวี บทเพลง ภาพหรือแม้แต่ข้อคิดคำแขวะเล็กน้อย ประทับใจมากๆก็จะหยิบติดมือมาเก็บไว้ใน ห้องสมุดส่วนตัว ฉันถือว่าทุกอย่างที่ออนไลน์คือเป็นผลงานของมวลชน
ประทับใจกับผลงานที่นั่นมากมาย ฉันนั่งปล่อยเวลาไปกับถ้อยคำสวยๆ อารมณ์หลากหลาย
ที่สำคัญที่สุดก็ความคิดที่ไม่เคยหยุดนิ่ง เหมือนนั่งดูโทรทัศน์ แต่ไม่เคยฝากผลงานไว้ที่นั่น เธอยังเถียงอย่างฉงน "สำนวนอย่างนั้น..,มันใช่เลย" แล้วจะปิดบังเอาแก้วอะไร..บุคคลิกทางภาษาของฉันได้มาตรฐานสากลม้างง.. ฉันพอใจเขียนร้อยแก้วมากกว่าร้อยกรอง และเหมือนจะทำได้ดี (...)

ในชีวิต ฉันอาจจะเขียนบทกวีเป็นแปดแสนล้านบท แต่ไม่เคยคิดเอาถ้อยคำวนไปวนมาของฉันไปป่วนสวนอักษรสวรรค์ จริงอยู่ฉันเคยส่งบทกวีลงหนังสือต่างๆในวัยเรียนแต่ไม่เกินสิบ สำนักพิมพ์ต้องมีอันปิดไปเป็นสำนักๆ ไปเสียก่อนทุกที (จริงจริงนะ) แล้วฉันจะเอางานของฉันไปล่มเว็บที่แสนจะรักนั่นได้อย่างไร
ฉันอ่านผลงานของทุกคนจนเหมือนจะรู้จักมักคุ้นไปหมดแล้ว ในบ้านกลอนนั้นเหมือนครอบครัวใหญ่ ใครหายไปก็มองหา ใครประสบความสำเร็จมาอวดก็รู้สึกยินดีด้วย วันไหนเกิดมีเรื่องไม่เข้าใจหรือขัดแย้งกันทางความคิด ก็เฝ้ามองอย่างเป็นห่วงเป็นใยจนเหตุการณ์สงบด้วยดี
ฉันมองเห็นความน่าชื่นใจของสังคมเล็กๆแต่ยิ่งใหญ่ของที่นั่น สัมผัสได้ถึงถ้อยทีถ้อยอาศัย มีกำลังใจให้แก่กันเสมอ เห็นหลายคนมีงานที่งดงามขนาดรวมเล่มได้เลยทีเดียว ยังใจหายเล็กๆกับคำ "วรรณกรรมขยะ" ที่สวนกระแสมา เสียใจกับความไม่รับผิดชอบในบทบาทของสื่อสาธารณะ คงลืมไปว่าสังคมชาวบ้านกลอนละเมียดละไมอ่อนไหวกับทุกความรู้สึก
นักวิพากษ์ทั้งหลายอาจบางทีคงเป็นแค่หลุมดำของวงการวรรณกรรม ในแต่ละวิถีชีวิตย่อมมีเหตุผลที่แตกต่าง คำวิพากษ์ที่ใช้เหตุผลของตัวเองมาตัดสินผลงานคนอื่น มันเป็นจุดหม่นของคนบนถนนหนังสือ ใครมองเห็นเหมือนฉันไหม?
ในวันนี้..ที่มีฝนกลางแดด วันที่พบใครสักคนที่มีสัมผัสคล้ายกัน ฉันรู้สึกรักเว็บนั้นมากขึ้นเป็นพิเศษ ฉันพบใครบางคนที่ทำให้หัวใจอยากร้องเพลง
ฉันพบใครบางคนที่มองโลกสวยงามเสมอ ฉันพบแล้วใครบางคนที่มีหัวใจละมุนละไม ฉันพบแล้วในกระจกเงาบานใหญ่ใบนั้น ฉันพบเงาของฉันแล้วในกระจกบานใหญ่
ฉันพบเงาของตัวฉันเองวันที่แดดเปียกฝน ให้เธอเป็นเงาของฉันวันฝนเปื้อนแดด
เธอค้นพบไหมใครสักคนที่เป็นเงาของเธอ ?
เงาของเธอคือฉันใช่ไหม เงาของเธอเป็นฉันได้ไหม?
นะ..ให้ฉันเป็นเงาของเธอวันที่แดดสีส้มอ้อนฝนปราย..

ตลอดกาล รณชัย ถมยาปริวัฒน์
รักแรก
แทรกความหวานฉ่ำล้ำทั้งมวล เหมือนชวนให้ใจต้องเสน่หา เหมือนดั่งสายน้ำชื่นฉ่ำเย็น ไหลผ่านมาสองอุรา พาให้ฝันใฝ่
รักนั่นไม่มีวันเปลี่ยนผันหัวใจ ให้ใครมีใจเพียงเพื่อเธอ แม้โลกหยุดหมุนรักก็ยังมั่นเสมอ ฟ้ามีดาวฉันมีเธอตลอดกาล
ขอให้รักเราเคียงอยู่คู่ฟ้า ไม่มีวันร้างราพลัดพรากจากไกล ให้ฉันให้เธอรักมั่นจริงใจ ตลอดไปนานเท่านานตลอดกาล
|